วิตามิน B
เลือกอ่านตามหัวข้อ Add a header to begin generating the table of contents ใครหลายคนคงคุ้นเคยกับวิตามิน B6 และ B12 แต่คุณรู้หรือไม่ว่าวิตามิน B มีด้วยกันทั้งหมด 8 ชนิดด้วยกัน
- B1 (ไทอามิน)
- B2 (ไรโบฟลาวิน)
- B3 (ไนอะซิน)
- B5 (กรดแพนโทเทนิก)
- B6 (ไพริดอกซิ)
- B7 (ไบโอติน)
- B9 (โฟเลต [กรดโฟลิก])
- B12 (โคบาลามิน)
วิตามินเหล่านี้มีหน้าที่ช่วยให้เอ็นไซม์ต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ตั้งแต่การเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตและไขมัเป็นพลังงาน ไปจนถึงการสลายกรดอะมิโนและการส่งออกซิเจน
วิตามิน B รวม หรือ วิตามิน B Complex มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?
วิตามิน B มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดีให้กับร่างกาย เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลโดยตรงต่อการสร้างพลังงาน การทำงานของสมอง และกระบวนการเผาผลาญ วิตามิน B รวมอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อและยังส่งเสริมการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้
- สุขภาพของเซลล์
- การเจริญเติบโตของเม็ดเลือดแดง
- ระดับพลังงาน
- สายตา
- การทำงานของสมอง
- ระบบการย่อยอาหาร
- ความอยากอาหาร
- การทำงานของเส้นประสาทอย่างเหมาะสม
- ฮอร์โมนและการผลิตคอเลสเตอรอล
- สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
- กล้ามเนื้อ
สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์
วิตามิน B มีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ซึ่งวิตามินเหล่านี้จะช่วยในการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงต่อความพิการโดยกำเนิด สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ วิตามิน B ยังช่วยจัดการระดับพลังงานในร่างกาย บรรเทาอาการคลื่นไส้ และลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษอีกด้วย
สำหรับการกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศชาย
ในบางอาหารเสริมที่ช่วย “กระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย” อาจมีส่วนผสมของวิตามิน B ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งอาจช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนในร่างกายได้ (ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะลงลดตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น) แต่ในปัจจุบันยังมีหลักฐานจากการศึกษาไม่เพียงพอที่จะยืนยันในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีหลักฐานว่าวิตามิน B มีผลต่อการเพิ่มฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่เพียงพอ แต่เนื่องจากวิตามิน B มีประโยชน์ในการควบคุมฮอร์โมน จึงเป็นไปได้ว่าวิตามิน B อาจช่วยควบคุมฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิงได้
ปริมาณสารอาหารที่แนะนำ
ปริมาณสารอาหารตามคำแนะนำของแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารแมคโคร หรือไมโคร จะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของประชากร จุดประสงค์ เทคโนโลยี และงานวิจัยที่เลือดใช้ โดยจะมีการอัพเดทในทุกๆ 5 ปีตามการค้นพบทางการแพทย์ใหม่ๆ (ปัจจุบันเป็นรอบ 2020-2023) โดยชื่อเรียกตามมาตรฐานจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น Recommeded Dietary Allowances (RDA), Dietary Standard, Safe Inteake of Nutrients, Recommended Nutrient Intakes หรือ Recommended Dietary Intakes โดยคุณสามารถดู RDA ของแต่ละสารอาหารได้ตามนี้ [RDA เปรียบเทียบตามแต่ละช่วงอายุ]
วิตามิน B สามารถพบในอาหารชนิดไหนบ้าง?
อาหารจำนวนมากมีวิตามิน B เป็นส่วนประกอบอยู่แล้วทำให้คุณไม่จำเป็นต้องบริโภคเพิ่มเติมจากอาหารเสริม ซึ่งคุณควรจะเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลายเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับวิตามิน B อย่างครบถ้วน ตัวอย่างอาหารที่ประกอบไปด้วยวิตามิน B เช่น
- น้ำนม
- ชีส
- ไข่
- ตับและไต
- เนื้อสัตว์ เช่น ไก่และเนื้อแดง
- ปลา เช่น ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน
- หอย เช่น หอยนางรมและหอยกาบ
- ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขมและคะน้า
- ผักต่างๆ เช่น บีทรูท อะโวคาโด และมันฝรั่ง
- ธัญพืช
- ถั่ว เช่น ถั่วไต ถั่วดำ และถั่วชิกพี
- ผลไม้ เช่น ส้ม กล้วย และแตงโม
- ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น นมถั่วเหลือง
- กากน้ำตาล
- จมูกข้าวสาลี
- ยีสต์
รู้ได้อย่างไรว่าร่างกายขาดวิตามิน B
คนส่วนใหญ่หากรับประทานอาหารที่มีความหลากหลายและถูกหลักโภชนาการก็มักจะได้รับวิตามิน B ที่เพียงพอต่อวันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม คนในบางกลุ่มยังมีความเป็นไปได้ว่าจะขาดวิตามิน B โดยเฉพาะในกลุ่มที่รับประทานยาบางชนิดมาระยะหนึ่ง เช่น ยาลดกรด หรือในกลุ่มที่รับประทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งอาการต่อไปนี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าคุณได้รับวิตามิน B ไม่เพียงพอ:
- อาการผื่นบนผิวหนัง
- รอยแตกรอบปาก
- ผิวหนังเป็นสะเก็ดบริเวณริมฝีปาก
- ลิ้นบวม
- รู้สึกเหนื่อยล้า
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- โลหิตจาง
- เกิดความสับสน
- หงุดหงิดง่าย หรือเกิดภาวะซึมเศร้า
- คลื่นไส้
- ปวดท้อง
- ท้องเสีย
- ท้องผูก
- ชาหรือรู้สึกเสียวแปลบที่เท้าและมือ
หากคุณมีอาการเหล่านี้และไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร ควรปรึกษาแพทย์ในทันที แม้ว่าจะเป็นไปได้ว่าคุณกำลังประสบกับปัญหาการขาดวิตามิน B แต่อาการเหล่านี้ยังคงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเนื่องจากสามารถบ่งบอกถึงโรคอื่นๆ ได้ด้วย
การขาดวิตามิน B สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคบางอย่างได้หรือไม่
การขาดวิตามิน B สามารถส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อร่างกายได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังขาดวิตามิน B ชนิดไหน หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้
- โรคโลหิตจาง
- ปัญหาเกี่ยวกับย่อยอาหาร
- ปัญหาเกี่ยวกับสภาพผิว
- การติดเชื้อได้ง่าย
- อาการปลายประสาทอักเสบ
โดยเฉพาะในการขาดวิตามิน B12 อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวช รวมถึงการขาดกรดโฟลิกในผู้ที่ตั้งครรภ์มีความเสี่ยงอาจทำให้เด็กพิการได้
อาหารเสริมวิตามิน B มีความจำเป็นมากขนาดไหน
คนส่วนใหญ่มักได้รับวิตามิน B ที่เพียงพอแล้วในการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราแนะนำให้พยายามทานอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป เนื่องจากร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินจากอาหารประเภทนี้ได้ดีที่สุด ดังนั้นคุณไม่มีความจำเป็นต้องทานอาหารเสริมอีก นอกจากว่ามีคำสั่งจากแพทย์ว่าคุณมีอาการขาดวิตามิน B บางชนิด โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีความเป็นไปได้ว่าต้องเพิ่มวิตามิน B จากอาหารเสริม
- มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
- กำลังตั้งครรภ์
- มีภาวะสุขภาพเรื้อรังบางอย่าง
- ใช้ยาบางชนิดเป็นระยะเวลานาน
- การทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด
เนื่องจากมีแบรนด์อาหารเสริมอยู่มากมายในตลาด คุณจึงควรอ่านฉลากและปฎิบัติตามคำแนะนำที่ผู้ผลิตแนะนำมาอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย และหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์
จะเกิดอะไรขึ้นหากร่างกายคุณได้รับวิตามิน B รวมมากเกินไป
หากคุณเพียงรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ได้มีการทานอาหารเสริมร่วมด้วยหรือทานอาหารเสริมในปริมาณแนะนำ มีความเป็นไปได้น้อยมากที่คุณจะได้รับปริมาณวิตามิน B รวมมากเกินไป เพราะวิตามิน B รวมมีคุณสมบัติสามารถละลายในน้ำได้ ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะไม่กักเก็บเอาไว้ และจะถูกขับออกทางปัสสาวะทุกวัน อย่างไรก็ตาม หากคุณรับประทานวิตามิน B มากเกินไปอาจส่งกระทบต่อร่างกายคุณได้ ซึ่งผลกระทบจากวิตามิน B แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันออกไป เช่น
- วิตามิน B6: หากทานมากเกินไปอาจนำไปสู่โรคปลายประสาทอักเสบ ซึ่งจำทำให้สูญเสียความรู้สึกที่แขนและขา
- โฟเลตหรือกรดโฟลิก: หากได้รับวิตามินชนิดนี้มากเกินไปอาจทำให้ระบบประสาทเสียหายได้
- ไนอาซิน: หากได้รับไนอาซินมากเกินไปอาจทำให้ผิวหนังแดง โดยในระยะยาวอาจทำให้ตับถูกทำลายได้
ยังไม่มีหลักฐานมากพอเพื่อการบ่งชี้ถึงผลกระทบของการบริโภควิตามิน B รวมมากเกินไป แต่หลีกเลี่ยงไว้จะดีกว่า โดยเฉพาะในระยะยาว
รู้หรือไม่?
การตั้งชื่อวิตามินเริ่มต้นจากการแยกสารตระกูลแรกของฟังค์ เช่น วิตามิน B ซึ่งเป็นสารที่นำไปใช้รักษาโรคเหน็บชา (Beri Beri) หลังจากนั้นจึงได้มีการตั้งชื่อวิตามินตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยวิตามิน A ถูกค้นพบในปี 2456-2457 ตามมาด้วย วิตามิน C และวิตามิน D ซึ่งใช้ในการรักษาโรคกระดูกอ่อน รวมถึงวิตามิน E ที่มีความสำคัญต่อการมีลูก ต่อมามีการค้นพบวิตามินที่ช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือดทำให้ตั้งชื่อวิตามิน K ที่ตัวอักษร K แทนคำว่า “koagulation” ซึ่งแปลว่าการแข็งตัวในภาษาเยอรมณี ทั้งนี้คุณรู้หรือไม่ว่า มีสารเคมีจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน B แต่อาจมีหรือไม่มีสถานะเป็นวิตามินก็ได้ เช่น โคลีน อิโนซิทอล และกรดพาราอะมิโนเบนโซอิก ตลอดจนวิตามินบี 15 (กรดแพนกามิก) และวิตามินบี 17 (อะมิกดาลิน) และในอดีตมีโมเลกุลจำนวนหนึ่งที่จัดว่าอยู่ในหมวดหมู่ของวิตามิน และมีการใช้ตัวอักษร F, G, H, M และ P เพื่อแสดงถึงวิตามินแต่ละชนิด อย่างไรก็ตามตัวอักษรวิตามินเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในหมวดวิตามินแต่สื่อถึงสารอาหารอื่นๆ แทน อย่างเช่น แร่ธาตุ
- National Institutes of Health Office of Dietary Supplements, Dietary Supplement Fact Sheets
- PMC PubMed central, Vitamin B12 and older adults
- Healthline, Why Is Vitamin B Complex Important, and Where Do I Get It?