กินแตงโมอ้วนไหม ช่วยอะไรได้บ้าง มีคำตอบสำหรับคนชอบความอร่อย

กินแตงโมอ้วนไหม

ผลไม้อย่าง “แตงโม” ไม่ว่าใครต่างก็คุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยรสชาติหวานฉ่ำบวกกับการมีน้ำเยอะจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเมืองไทยที่มีอากาศอันแสนร้อนอบอ้าว ยิ่งได้กินแบบแช่เย็นความสดชื่นก็เพิ่มทวีคูณ อย่างไรก็ตามคงมีคงอีกจำนวนไม่น้อยเกิดข้อสงสัยด้วยรสชาติหวานชื่นใจขนาดนี้ การกินแตงโมอ้วนไหม แล้วกินแตงโมช่วยอะไรได้บ้าง มาหาคำตอบกันแบบครบถ้วนได้เลย

กินแตงโมอ้วนไหม? ใครลดน้ำหนักต้องรู้

สำหรับข้อสงสัยที่ว่ากินแตงโมอ้วนไหม? ต้องขออธิบายแบบนี้กันก่อน ปกติแล้วการกินแตงโม 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 30 แคลอรี อย่างไรก็ตามปริมาณดัชนีน้ำตาล หรือ Glycemic Index (GI) อยู่ที่ 72 และปริมาณน้ำตาลอีกประมาณ 2% นั่นหมายถึงหากประเมินกันตามหลักโภชนาการหากกินแตงโมปริมาณมากเกินไปก็มีสิทธิ์ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าปกติ ก็มีโอกาสทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้

ปริมาณที่เหมาะสมในการกินแตงโมต่อวันจึงไม่ควรเกิน 1 ถ้วย หรือประมาณ 154 กรัม แต่! อย่าพึ่งมองว่าผลไม้ชนิดนี้เป็นผู้ร้ายจนทำให้ต้องเลิกกิน เพราะในความเป็นจริงการกินอาหารทุกประเภทในปริมาณมากเกินไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งสิ้น และลองเทียบดูว่าหากคุณเลือกกินแตงโมกับขนมหวานในปริมาณเท่ากัน แตงโมยังมีสารอาหารชนิดอื่นอีกเยอะมาก รวมถึงปริมาณน้ำตาลก็ไม่ได้สูงโดดเกินไป เคยมีงานวิจัยระบุว่าการกินแตงโมกับขนมหวานในปริมาณเท่ากัน จะสามารถลดปริมาณแคลอรีที่ร่างกายได้รับเฉลี่ยถึง 500 แคลอรี เลยทีเดียว

คำตอบที่ว่ากินแตงโมอ้วนไหม? จึงต้องขึ้นอยู่กับปริมาณการกินของบุคคลผู้นั้น ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้านอื่นควบรวมกันด้วย หากคุณกินเยอะดัชนีน้ำตาลที่สูงก็ทำให้อ้วนขึ้นได้จริง แต่อีกมุมหนึ่งหากกินแทนขนมหวานหรืออาหารที่มีน้ำตาลสูงมากในปริมาณเหมาะสม แตงโมมีส่วนในการช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีไม่แพ้กัน แถมยังอัดแน่นไปด้วยสารอาหารหลากชนิดอีกต่างหาก

กินแตงโม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

อย่างที่อธิบายไปว่าแตงโมจัดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก แม้มีปริมาณน้ำตาลอยู่บ้างแต่ก็เป็นเรื่องปกติที่ร่างกายควรได้รับอย่างเหมาะสม ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป ยิ่งเมื่อลองเทียบกับประโยชน์ด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าใครก็ควรค่ากับการได้กิน ซึ่งหากถามว่ากินแตงโม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? มาไล่เรียงสารอาหารพร้อมประโยชน์กันทีละข้อได้เลย

1. ไลโคปีน (Lycopene)

สารอาหารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ประเภทหนึ่งที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนรูปเป็นวิตามินเอ หากเรียบแบบเข้าใจง่ายมันก็คือสารสีแดง สารสีส้ม และสารสีเหลืองที่มักอยู่ในผักผลไม้ มีจุดเด่นเรื่องการบำรุงผิวพรรณ ลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย ลดระดับน้ำตาลในเลือด (กินปริมาณพอเหมาะ) และยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชายได้อีกด้วย

2. ซีทรูลีน (Citrulline)

กรดอะมิโนประเภทหนึ่งพบเจอได้เยอะมากในแตงโม เปรียบได้กับสารตั้งต้นของการสร้างอาร์จีนิน (Arginine) ซึ่งถือเป็นกรดอะมิโนที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ทำหน้าที่ในการขยายหลอดเลือดกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันการสะสมไขมันที่เกาะติดตามหลอดเลือดให้ลดน้อยลง สุขภาพดีขึ้น ไม่เสี่ยงหัวใจวาย รวมถึงยังมีส่วนช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

3. วิตามินเอ (Vitamin A)

หนึ่งในสารอาหารหลักอีกชนิดที่อัดแน่นอยู่ในแตงโม มีส่วนอย่างยิ่งในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วย ดูแลอวัยวะหลายส่วนให้มีความแข็งแรงโดยเฉพาะการบำรุงสายตา

4. วิตามินซี (Vitamin C)

สารอาหารสำคัญอีกชนิดที่ร่างกายควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสม มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดการเจ็บป่วยจากเชื้อแบคทีเรีย มีสารต้านอนุมูลอิสระลดการเกิดมะเร็ง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนพร้อมบำรุงผิวพรรณเปล่งปลั่ง ซ่อมแซมเซลล์ผิวให้แข็งแรง มีน้ำมีนวล สุขภาพผิวอ่อนกว่าวัย

5. โพแทสเซียม (Potassium)

แร่ธาตุประเภทหนึ่งซึ่งมีมีหน้าที่ช่วยเหลือด้านการยืดหดกล้ามเนื้อร่างกาย บำรุงการทำงานของระบบประสาททุกส่วน ลดความเสี่ยงการเกิดเหน็บชา การเกิดตะคริว ใครรู้ว่ามีปัญหาสุขภาพเรื่องนี้บ่อยสามารถกินแตงโมช่วยเสริมกันได้เลย

6. กากใยอาหาร (Fiber)

ท้ายที่สุดแตงโมยังอัดแน่นไปด้วยกากใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ซึ่งจะช่วยเรื่องของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ลดภาวะท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ อีกทั้งยังมีปริมาณน้ำเยอะถึง 92% จึงช่วยให้อิ่มนานขึ้น ไม่กินจุบจิบระหว่างวันซึ่งเป็นอีกข้อได้เปรียบของคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

7. เบต้า – คริปโตแซนทิน (Beta – Cryptoxanthin)

สารอาหารอีกประเภทในกลุ่มแคโรทีนอยด์เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนสภาพเป็นวิตามินเอ รวมถึงยังอยู่ในหมวดหมู่ของสารต้านอนุมูลอิสระประเภทหนึ่งด้วย ซึ่งจุดเด่นสำคัญของสารชนิดนี้จะช่วยบำรุงข้อต่อให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงจากอาการข้อต่ออักเสบ

8. เบต้า-แคโรทีน (Beta – Carotene)

สารอาหารชนิดนี้จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างวิตามินเอจึงมีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยงาม เต่งตึง กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นผู้ช่วยสำคัญในการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแบคทีเรียต่าง ๆ ทำร้ายสุขภาพร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย

ใครไม่ควรกินแตงโมบ้าง?

แม้สารอาหารในแตงโมจะมีเยอะมาก เหมาะกับการกินได้เป็นประจำ อย่างไรก็ตามยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่ควรกินแตงโมในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลดีที่เกิดขึ้น ได้แก่

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลระดับหนึ่ง หากกินเยอะเกินไปจะเสี่ยงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเร็วแบบฉับพลัน
  • โรคภูมิแพ้ อาจมีส่วนกระตุ้นทำให้เกิดอาการลมพิษ ระบบทางเดินหายใจขัดข้อง หายใจไม่สะดวก
  • ผู้มีปัญหาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะมาก ส่งผลให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง
  • ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารไม่ว่าจะเป็น เยื่อบุลำไส้อักเสบเรื้อรัง มีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ ลำไส้แปรปรวน ท้องเสียเรื้อรัง โรคกรดไหลย้อน เพราะเป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลฟรุกโตสซึ่งไม่สามารถย่อยและดูดซึมในระบบทางเดินอาหารได้
  • ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ เพราะแตงโมทำหน้าที่ในการลดระดับความดันในเลือดดังนั้นคนที่ความดันต่ำอยู่แล้วอาจเสี่ยงภาวะช็อกได้
  • ช่วงที่กำลังเจ็บป่วย มีไข้ การกินแตงโมแช่เย็นอาจทำให้อาการไข้กำเริบมากขึ้น

คนท้องกินแตงโมได้ไหม?

สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์สามารถกินแตงโมได้ แต่ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมเฉลี่ยแล้วประมาณ 1 ถ้วยเล็ก เพื่อให้ร่างกายรับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของตนเองและลูกในครรภ์ การกินแตงโมเยอะเกินไปสำหรับคนท้องมีความเสี่ยงทำให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งในอนาคตอาจทำให้เป็นโรคเบาหวานได้เมื่ออายุมากขึ้น อีกทั้งบางครั้งยังอาจทำให้รู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ซึ่งส่งผลต่อสภาพร่างกายของคุณแม่โดยตรงและยังอาจส่งผลถึงลูกด้วยเช่นกัน

แนะนำเมนูจากแตงโม รสชาติอร่อย แถมได้สุขภาพดี

หากคุณเป็นคนรักการกินแตงโมมาก แต่ถ้าต้องกินแบบเดิมทุกวันคงเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก จึงอยากแนะนำเมนูจากแตงโมที่ช่วยเปลี่ยนผลไม้ธรรมดาให้มีรสชาติอร่อยมากขึ้น แถมทุกเมนูที่คัดสรรมารับรองว่าดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

1. สลัดแตงโม

ใครกำลังควบคุมน้ำหนัก กินสลัดบ่อย ๆ ลองเพิ่มเติมแตงโมเย็นฉ่ำจากในตู้เย็นโรยลงไป ไม่ต้องคลุกเคล้าอะไรมากเพราะอาจทำให้เนื้อแตงโมแตกได้ง่าย จากนั้นก็เริ่มกินกันได้เลย เลือกผักชนิดที่ชอบ ราดน้ำสลัดสูตรที่ใช่ ความหวานฉ่ำน้ำของแตงโมจะเพิ่มอรรถรสแห่งความอร่อยให้มากขึ้นกว่าเดิมแบบไม่ต้องสงสัยเลย

2. วุ้นแตงโมผลไม้รวม

นำผงวุ้นต้มในน้ำร้อนจนเดือด ระหว่างนั้นก็หั่นผลไม้ที่ชอบเป็นชิ้นพอดีคำ เช่น สับปะรด แก้วมังกร กีวี สตรอเบอร์รี่ องุ่น แล้วจัดวางลงไปบนแตงโมผ่า ตามด้วยการราดผงวุ้นที่ต้มสุกจับตัวกันดีแล้ว แช่ตู้เย็นรอการเซตตัว เพียงเท่านี้ก็จะได้แตงโมพร้อมผลไม้รวมนานาชนิดที่ทุกคนในบ้านชอบกันแล้ว

3. น้ำแตงโมปั่น

เมนูสุดคลาสสิกตลอดกาลโดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนถือเป็นแก้วที่หลายบ้านมักมีติดตู้เย็นเอาไว้ วิธีการไม่ยุ่งยากนำเนื้อแตงโมที่พึ่งออกจากตู้เย็นใส่เครื่องปั่น ตามด้วยน้ำแข็งเปล่า ทำการปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน อาจเพิ่มเกลือกับน้ำมะนาวเล็กน้อยเพื่อสร้างรสชาติความกลมกล่อม ไม่ต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม ร้อน ๆ แล้วได้ดื่มสักแก้วสดชื่นแน่นอน

สรุป

เป็นยังไงกันบ้างสำหรับผลไม้โปรดของหลาย ๆ คนสำหรับแตงโม คงรู้กันชัดเจนแล้วว่ากินแตงโมไม่ได้ทำให้อ้วนหากกินในปริมาณเหมาะสม แถมยังอัดแน่นด้วยสารอาหารสำคัญที่ดีต่อร่างกายมากมาย อย่างไรก็ตามสำหรับบางคนอาจควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณให้เพียงพอ อย่ากินมากเกินไปเพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้ และถ้าหากคุณเบื่อกับการกินแบบเดิม ๆ ลองนำเมนูที่แนะนำเหล่านี้ไปดีไซน์ตามสไตล์ของตนเองกันได้เลย

Ref:

  1. https://mgronline.com/infographic/detail/9610000099327
  2. https://sciplanet.org/content/10596
  3. https://hdmall.co.th/c/watermelon-and-its-benefits
  4. https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/46

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *