สวัสดีคร่าทุกคนนน…ถ้าหากพูดถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวแล้วเมย์คงต้องนึกถึง คุณพ่อ คุณแม่และลูกน้อย เป็นตัวแปรหลักที่มี ซึ่งในการเติบโตของเด็กๆ นั้น ตัวแปรหลักๆ หรือสถาบันครอบครัวนี่แหละค่ะ ที่มีผลต่อพัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงวัยเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรจะต้องดูแลและให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูลูกน้อยของเรา เพราะในแต่ละช่วงวัยของการเจริญเติบโตนั้น การป้อนความคิด การดำเนินชีวิต ล้วนแล้วแต่มีผลไปถึงพัฒนาการทางด้านต่างๆ ของเด็กๆ และอีกทั้งยังกำหนดอนาคตของลูกได้อีกด้วยนะ ถึงแม้ว่าการเลี้ยงดูลูกน้อยจะเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เมย์อยากบอกว่าหากคุณเข้าใจเรื่องพัฒนาการเด็กแต่ละช่วงวัยแล้วล่ะก็ จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ระหว่างการเติบโตของเด็กๆ ได้ง่ายมากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
เลือกอ่านหัวข้อที่น่าสนใจ
หัวใจหลักของการเติบโต……ทำไมวัยเด็กจึงสำคัญ ??
เมย์มองว่าในช่วงแรกเกิดจนถึง 8 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด เพราะช่วงปีแรกๆ จะเป็นช่วงที่เด็กมีพัฒนาการทางด้านสมองอย่างรวดเร็ว ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 8 ปี ส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างของสมองโดยตรง ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับการเรียนรู้ พฤติกรรม และสุขภาพในอนาคตทั้งหมดเลยล่ะค่ะ และยังรวมไปถึงพัฒนาการเด็กทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคมอีกด้วย
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือประสบการณ์และสภาพแวดล้อมในเชิงบวก จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเล็กมีเส้นทางชีวิตที่มั่นคง แข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ในขณะที่ประสบการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้กระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ ก็จะส่งผลกระทบในระยะยาว ซึ่งเป็นด้านลบได้เช่นกันค่ะ
เด็กๆ ที่ได้รับการดูแลที่ดีตั้งแต่แรกเกิด จะมีรากฐานที่แข็งแกร่ง สภาวะอารมณ์ที่มั่นคง ทั้งร่างกายและจิตใจ การเลี้ยงดูอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ เด็กๆ พัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต เมย์อยากโฟกัสตรงช่วงแรกเกิดจนถึงอายุ 3 ขวบ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สมองพัฒนาอย่างรวดเร็ว การทำงานของสมองจะมีการสร้างการเชื่อมต่อเซลล์ประสาทนับพันล้านเซลล์ ซึ่งจำนวนเซลล์ประสาทของเด็กวัย 3 ปี มีปริมาณมากถึง 80% ของเซลล์ประสาทของผู้ใหญ่ที่โตเต็มวัย เพราะช่วงวัยเด็กเซลล์ประสาทจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อผ่านพ้นช่วงที่โตเต็มวัยไปแล้ว สมองเราก็เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ช่วงของการเสื่อมตามธรรมชาติในแต่ละวันค่ะ
(ภาพเซลล์ประสาทที่มีอยู่ในสมองตามแต่ละช่วงวัย)
เพราฉะนั้นเมย์อยากเน้นย้ำว่าการเลี้ยงดูลูกน้อยให้ได้รับประสบการณ์เชิงบวก ทั้งในรูปแบบของความสัมพันธ์ที่มั่นคงจากพ่อแม่ ความรักจากผู้คนรอบข้าง และการที่เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รู้สึกถึงความปลอดภัย จะช่วยเกื้อหนุนส่งเสริมพัฒนาการเชิงบวกของเด็กได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เมื่อเด็กๆ ได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้อง เด็กๆ ก็จะผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะพบเจอได้เป็นอย่างดีและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตอย่างดีเยี่ยม
1. การดูแลแม่และเด็ก…..ช่วงระหว่างตั้งครรภ์
ระยะเริ่มต้น…..ช่วงวัยก่อนคลอด
ยินดีต้อนรับว่าที่คุณแม่ ช่วงตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับคุณแม่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะท้องแรกเมย์บอกเลยว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องรับมือและทำความเข้าใจ ในช่วงนี้การดูแลตัวเองและลูกในท้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยค่ะ คุณแม่มือใหม่ควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ร่วมไปถึงบุคคลภายในครอบครัว ซึ่งสิ่งที่เมย์อยากเน้นเลยก็คือ การดูแลเรื่องอาหาร ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อลูกในครรภ์มากที่สุด หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ส่งผลเสียต่อลูกน้อยในครรภ์ และอีกเรื่องนึงที่เมย์อยากบอกคือกำลังใจจากบุคคลใกล้ชิด ให้กำลังใจกันเพื่อลดความกลัว ความกังวลต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง 9 เดือนที่อุ้มครรภ์ ซัพพอร์ตและสนับสนุนกันภายในครอบครัว ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีความสุข ช่วยกันดูแลเรื่องสุขภาพ ออกกำลังกายเบาๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ผ่านพ้นระยะตั้งครรภ์และคลอดลูกน้อยอย่างสมบูรณ์แข็งแรงค่ะ
· วัคซีนสำหรับคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์…..ช่วยให้คุณและลูกน้อยแข็งแรง
ระหว่างการตั้งครรภ์นอกเหนือจากโภชนาการทางด้านอาหารและการออกกำลังกายที่ดีแล้ว การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและได้รับอาหารเสริมที่เหมาะสม ยังมีอีกตัวที่เมย์อยากแนะนำคือ การฉีดวัคซีนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ก็ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพเช่นกันค่ะ เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพสำหรับคุณแม่และลูกในครรภ์ให้แข็งแรงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ
· การฉีดวัคซีนขณะตั้งครรภ์…..ปลอดภัยหรือไม่ ?
มีผลวิจัยที่รองรับวัคซีนที่คิดค้นขึ้นมาสำหรับสตรีมีครรภ์โดยเฉพาะ ซึ่งวัคซีนเหล่านี้ผลิตขึ้นมาโดยให้ความสำคัญต่อแม่และเด็กเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งวัคซีนที่คุณแม่ได้รับจะปกป้องแม่และลูกในครรภ์จากโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ และที่สำคัญประสิทธิภาพการป้องกันโรคจะยังคงอยู่กับเด็กแรกเกิดไปอีก 2-3 เดือนเลยค่ะ
แต่เมย์จะบอกว่ายังมีวัคซีนบางชนิดที่ไม่ควรได้รับขณะตั้งครรภ์ด้วยนะคะ เนื่องจากมีภาวะความเสี่ยงกับลูกในท้องได้ เช่น วัคซีนเชื้ออ่อนแรง (Live-attenuated Vaccine) จำพวกวัคซีนหัดเยอรมัน วัคซีนคางทูม ซึ่งอาจมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ค่ะ ดังนั้นทุกครั้งที่จะรับวัคซีน คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ในการวางแผนการฉีดวัคซีน ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อการฉีดวัคซีนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงระยะครรภ์
ก่อนจะจบเรื่องวัคซีนเมย์ขอแนะนำวัคซีนที่ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์ เช่น วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varicella vaccine) วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (Measles-Mumps-Rubella, MMR) และ วัคซีนที่ควรฉีดระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก (Diphtheria and Tetanus toxoids combine (DT/dT) vaccine) วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Inactivated influenza vaccine) เป็นต้น
2. การดูแลโภชนาการและการออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์
การดูแลโภชนาการและการออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์
· วางแผนโภชนาการ
เมย์มองว่าอาหารเป็นเรื่องสำคัญ หากพูดถึงเรื่องอาหาร คุณแม่ควรมีการวางแผนมื้ออาหารให้สมดุล ทุกมื้อควรมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายให้ครบ และต้องคำนึงถึงอยู่เสมอว่าร่างกายต้องการสารอาหารสำหรับคนสองคน เมย์ขอแนะนำว่าช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ต้องได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 350-450 แคลอรี่ต่อวัน เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่เพียงพอและสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรงในครรภ์
· การออกกำลังกาย
การขยับร่างกายในช่วงตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เมย์แนะนำให้เริ่มต้นจากการเดินหรือว่ายน้ำในระดับน้อยไปจนถึงปานกลาง หากคุณแม่คนไหนสายออกกำลังกายก็อาจจะเล่นโยคะก่อนคลอดหรือคลาสพิลาทิสก็ได้ค่ะ ในช่วงแรกของการปรับตัว 2-3 สัปดาห์แรกของการออกกำลังกาย คุณแม่สามารถเริ่มออกกำลังกายได้เพียง 5 – 10 นาที ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพครรภ์ ดื่มน้ำให้มากๆ ขณะออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการกระโดดหรือการเคลื่อนไหวที่สั่นสะเทือนมากเกินไปด้วยนะคะ
3. ครอบครัวมีความสำคัญอย่างไรต่อ…..พัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงวัย
ทารก : แรกเกิด – 1 ปี
ยินดีต้อนรับสู่โลกว้าง…..เมื่อลูกน้อยลืมตาครั้งแรก มักเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นของคุณพ่อคุณแม่ และก็ยังเป็นช่วงที่อาจเหนื่อยล้าบ้างจากการอุ้มครรภ์มาเป็นระยะเวลาถึง 40 สัปดาห์ แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดในช่วงแรกเกิด คือ การมอบความรักจากคุณพ่อคุณแม่ ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด ให้เขาได้สัมผัสถึงความอบอุ่น คอยพูดคุย โอบกอด ปลอบโยน เพราะเด็กน้อยเพิ่งได้สัมผัสโลกครั้งแรก คุณพ่อคุณแม่จึงควรใช้ความเข้าใจ อดทน และใจเย็น เพื่อเฝ้าดูการเติบโตและส่งเสริมพัฒนาการของลูกในช่วงนี้ เช่น คลาน ยืน เดิน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูกมากที่สุด
พัฒนาการของทารกแรกเกิด – 1 ปี
ในช่วงระหว่าง 0 – 3 เดือนของทารก ลูกน้อยเกิดมาพร้อมกับพัฒนาการของสมองที่มีมาตั้งแต่ในครรภ์ ทารกจะรู้จักเสียงของแม่และอาจจำเสียงของนิทานที่แม่อ่านให้ฟังขณะที่ยังอยู่ในครรภ์ได้ ในช่วงนี้ทารกจะเริ่มมองเห็นแบบมัวๆ และจะพัฒนาเป็นการมองเห็นที่ชัดเจนขึ้นตามลำดับ ลูกน้อยจะเริ่มแยกแยะภาษาได้จากการที่สมองฮิบโปแคมปัส ซึ่งเป็นโครงสร้างลิมบิกที่เกี่ยวข้องกับหน่วยความจำการจดจำได้พัฒนาการตามช่วงวัย ซึ่งเมย์จะบอกว่าสมองของเด็กๆ ในช่วงปีแรกจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่า โดยการเติบโตทางด้านสมองของลูกน้อยนี้ส่วนใหญ่จะเกิดจากการพัฒนาของสมองส่วน cerebellum หรือ สมองน้อย เป็นสมองที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ ส่งผลถึงการควบคุมร่างกายและทักษะการเคลื่อนไหวต่างๆ ช่วงวัยนี้เด็กแต่ละคนจะพัฒนาการแตกต่างกัน บางคนช้าบางคนเร็ว ดังนั้นไม่ต้องตื่นตระหนกเมื่อลูกของคุณมีพัฒนาการที่แตกต่างออกไปค่ะ
เด็กเล็ก : ช่วง 1 – 3 ปี
เมย์คิดว่าวัยนี้แหละวัยซุกซน เป็นช่วงวัยที่กำลังอยากเรียนรู้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับคุณพ่อคุณแม่มากที่สุด ลูกน้อยจะเริ่มมีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้น เช่น สติปัญญา สังคม และอารมณ์ที่แปรปรวนเป็นอย่างมาก ลูกของคุณจะเริ่มเคลื่อนไหว เริ่มพูด เริ่มจับ ปีนป่าย เริ่มอยากสำรวจโลกรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมย์แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลเขาด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ได้มากที่สุด พูดคุย โต้ตอบ รับฟัง เพื่อสื่อสารระหว่างกันและกัน และพาลูกน้อยออกไปพบเจอสิ่งใหม่ เพื่อให้เกิดการทำกิจกรรมร่วมกันและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้อื่นในสังคม
· ในช่วงปีที่หนึ่ง
ช่วงวัยหนึ่งขวบลูกน้อยจะเริ่มเปลี่ยนจากคลานมาเป็นเริ่มลุกเดินกันแล้ว มีการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วมากขึ้น อีกทั้งมีพัฒนาการทางสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษา จะมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เด็กพัฒนาความสามารถทางภาษาได้อย่างรวดเร็ว โดยเด็กจะเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าระหว่างปีแรกและปีที่สอง
· ในช่วงปีที่สอง
ช่วงวัยสองขวบจะมีอัตราการสร้างไมอีลินเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นสารอาหารที่พบมากในนมแม่ มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอ ช่วยให้สมองทำงานซับซ้อนมากขึ้น ช่วยส่งเสริมพัฒนาการคิดขั้นสูง เช่น การตระหนักรู้ในตนเอง เด็กจะตระหนักถึงอารมณ์และความตั้งใจของตนเองมากขึ้น เมื่อเขาเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก เขาตระหนักดีว่านั่นคือเงาของตัวเอง เริ่มรู้จักตัวตน มองเห็นและจดจำหน้าตาร่างกายของตัวเอง เขาจะเริ่มใช้ชื่อของตัวเองและเข้าใจสรรพนามในการเรียกตัวเอง
· ในปีที่สาม
ช่วงวัยนี้อารมณ์เป็นเรื่องสำคัญ เพราะความหนาแน่นของซินแนปติกในเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า (preconfrontal cortex) อาจถึงจุดสูงสุดในช่วงปีที่สาม ซึ่งสูงถึง 200 เปอร์เซ็นต์ของระดับผู้ใหญ่ ซึ่งสมองส่วนนี้มีความสำคัญในเรื่องการ คิด วางแผน แก้ปัญหา ตัดสินใจ การมีสมาธิจดจ่อ ซึ่งพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กในช่วงวัยนี้ จะสามารถใช้อดีตเพื่อตีความเหตุการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้น พวกเขายังมีความยืดหยุ่นทางความคิดมากขึ้นและเข้าใจเหตุและผลได้ดีขึ้นอีกด้วย
เด็กก่อนวัยเรียน : 3 – 5 ปี
อายุ 5 ขวบ ช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ สมองของเด็กจะโตขึ้นถึง 90% ของพัฒนาการทางสมองมนุษย์ ช่วงแรกเกิดสมองของทารกโดยเฉลี่ยจะมีขนาดประมาณหนึ่งในสี่ของขนาดสมองของผู้ใหญ่และเพิ่มขนาดเป็นสองเท่าในปีแรก และเติบโตเป็นประมาณ 80% ของขนาดตัวเต็มวัยเมื่ออายุ 3 ขวบ และ 90% หรือเกือบโตเต็มวัยเมื่อถึงช่วงอายุ 5 ขวบ ช่วงแรกเกิดทารกจะมาพร้อมกับเซลล์สมอง แต่สิ่งที่ช่วยทำให้สมองสั่งการได้จริง มาจากการเชื่อมต่อกันของเซลล์ในระบบประสาท ที่ทำให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหว คิด สื่อสาร และทำสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่งในวัยเด็กเป็นช่วงที่เซลล์ประสาทจะมีการเชื่อมต่อกันได้เร็วที่สุดและซับซ้อนมาก นั่นหมายถึงพัฒนาการเด็กและการเรียนรู้จะเร็วกว่าทุกช่วงวัยนั่นเองค่ะ ทำให้เด็กๆ สามารถเคลื่อนไหว พูด และคิดในรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ตามความรวดเร็วในการเรียนรู้ของสมอง
เมย์จะบอกว่าช่วงนี้แหละที่เด็กๆ เขาจะสามารถเรียนรู้ทักษะหลายอย่าง มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องตัวเลข ตัวอักษร การอ่าน การคำนวณเบื้องต้น รวมไปถึงความสนใจ สิ่งเร้ารอบตัว เสียงดนตรี เสียงสภาพแวดล้อม และเป็นช่วงวัยที่ได้ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และเล็ก ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว เด็กๆ บางคนอาจสนใจเรื่องงานศิลปะ งานฝีมือ ของเล่นที่ขับขี่ หรือเล่นกีฬาประเภทต่างๆ และเด็กในช่วงวัยนี้มีการพัฒนาทักษะด้านภาษา การเข้าสังคม และใช้ความคิดสร้างสรรค์ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยลูกเรียนรู้ผ่านการเล่น การสำรวจ การเดินทางเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ
เด็กวัยประถม : 5 – 12 ปี
ในช่วงเวลานี้เด็กๆ จะเริ่มรู้จักตัวตนของตนเองแล้ว ความสนใจ ความชอบ จะแสดงออกมาอย่างชัดเจน คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนสิ่งที่ลูกชอบหรือสนใจ ลูกของคุณควรรู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนในช่วงวัยนี้ เพื่อช่วยเผชิญกับความท้าทายในชีวิตของเขาในอนาคต พวกเขาจะเริ่มพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง มีความคิดเชิงสร้างสรรค์ และมีความเป็นตัวของตัวเองสูงขึ้น ซึ่งการพัฒนาตรงส่วนนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขามีประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ที่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง จากความพยายามของพวกเขา จะทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจและมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น
วัยรุ่น : 12 – 18 ปี
เมย์บอกเลยว่าวัยนี้เป็นวัยที่ท้าทายสำหรับพ่อแม่เป็นอย่างมากๆ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความอดทน อดกลั้น ความเข้าใจ และจิตวิทยาขั้นสูง ในการเลี้ยงดูลูกๆ เพราะวัยรุ่นมักจะมีความเป็นอิสระ ต่อต้าน และมีอารมณ์อ่อนไหวมากขึ้น เมย์แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่เคารพความเป็นส่วนตัวของลูก สร้างสภาพแวดล้อมในบ้านที่ดี เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้อิสระ และเข้าใจลูก ยอมรับในตัวตนของเขาและพร้อมจะสนับสนุนสิ่งที่ลูกชอบ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยสร้างความใกล้ชิดระหว่างครอบครัว ทำให้มีความสุข มีเสียงหัวเราะและทำกิจกรรมร่วมกันได้มากขึ้น
ผู้ใหญ่ตอนต้น : 18 – 21 ปี
ช่วงวัยที่จะเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นไปสู่วัยหนุ่มสาว ลูกรักของเราจะก้าวสู่โลกกว้าง พวกเขาอาจจะออกจากบ้านไปเรียนที่มหาลัยหรือทำงานที่ไกลจากบ้าน ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น ท้าทายทั้งกับพ่อแม่และลูก ในด้านสภาวะอารมณ์ ที่อาจสับสน คิดถึง เหงา เศร้า หรือเคว้งคว้าง แต่อย่างไรก็ตามลูกของคุณก็อาจต้องปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างการอยู่ที่บ้านกับการใช้ชีวิตอยู่ภายนอกเพียงลำพัง ในฐานะพ่อแม่คุณควรให้การสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่ ให้กำลังใจที่ดี ไว้ใจ ให้ความเป็นอิสระ สนับสนุนให้ลูกมีพฤติกรรมเชิงบวก ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิต สอนการช่วยเหลือ การให้อภัย และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และคอยช่วยเหลือให้พวกเขาพัฒนาทักษะชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นในทุกวัน
เมย์ขอสรุปแบบนี้ค่ะ การเรียนรู้และเข้าใจพัฒนาการเด็กแต่ละช่วงวัย เป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญ ทำความเข้าใจการเลี้ยงลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะทำให้การพัฒนาสมองตั้งแต่ทารกและเด็กเล็กได้รับการดูแลอย่างอย่างถูกต้อง และเป็นไปตามกระบวนการพัฒนาทางด้านสมองและร่างกาย ส่งผลให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะสามารถโตมาเป็นคนที่ดี น่ารัก แข็งแรง มีทักษะในการใช้ชีวิตเพิ่มมากขึ้น มีความสามารถ มั่นใจในตัวเอง ในอนาคตลูกๆ จะสามารถบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองอย่างภาคภูมิใจค่ะ
โดยสรุป การเรียนรู้และเข้าใจพัฒนาการเด็กแต่ละช่วงวัย จะทำให้การพัฒนาสมองตั้งแต่ทารกและเด็กเล็กได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ ส่งผลให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะสามารถโตมาเป็นคนที่น่ารัก มีทักษะในการใช้ชีวิตเพิ่มมากขึ้น สามารถบรรลุเป้าหมาย และประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองReference
- On Feb. 27, North Carolina welcomed Dr. Jack Shonkoff as the keynote speaker for the NC Early Childhood Summit. Shonkoff is a leading scholar on early child health and development and the director of the Harvard Center on the Developing Child.
- By Edith Bracho-Sanchez, MD, FAAP
- Paolohospital
- dmh.go.th
- Caring for Your Baby and Young Child: Birth to Age Five 7th edition (Copyright © 2019 American Academy of Pediatrics
- The Urban Child Institute.
- KIWI FAMILY MEDIA LTD.
- https://www.wcsap.org/sites/default/files/uploads/resources_publications/special_editions/Appendix_Activity_Guide_2016.pdf
- Virtual Lab School