คำแนะนำเด็กท้องเสีย:ดูแลอาการของลูกเบื้องต้นเมื่อการอาการท้องเสีย และสาเหตุของโรคเชิงลึก

First Aid for Child Diarrhea:
การดูแลอาการของลูกเบื้องต้นเมื่อมีอาการท้องเสีย

โรคท้องเสียในเด็ก (ท้องร่วงในเด็ก) อาจทำให้พ่อแม่วิตกกังวลได้ การสูญเสียของเหลวอย่างรวดเร็วอาจทำให้เด็กอ่อนแอ และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำซึ่งอาจเป็นอันตรายได้[1]. เราเข้าใจถึงความวิตกกังวลที่คุณรู้สึก และจัดทำคำแนะนำและตลอดขั้นตอนต่างๆ ที่คุณสามารถทำได้ก่อนเพื่อดูแลอาการของบุตรหลานของคุณ

1. เช็คการขาดน้ำก่อนเลยครับ 

โรคท้องเสียอาจทำให้สูญเสียของเหลวและเกลือที่จำเป็นออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว[2]. เพื่อแก้ไขปัญหานี้:

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณดื่มของเหลวปริมาณมากเป็นประจำ
  • พิจารณาใช้ผงเกลือแร่สำหรับช่อวยท้องเสีย (ORS)[3] มีจำหน่ายที่ร้านขายยาทั่วไปหลายยี่ห้อ ORS มีส่วนผสมของน้ำตาลและเกลือที่สมดุลซึ่งเด็กอาจต้องการระหว่างท้องเสีย จะมีประโยชน์อย่างยิ่งหากเด็กแสดงอาการขาดน้ำ
  • จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำผลไม้และเครื่องดื่มอัดลม เนื่องจากอาจทำให้ท้องเสียรุนแรงขึ้นได้[4] *หากลูกน้อยอยากทานน้ำผลไม้มากให้เจือจางในเปล่าเพื่อลดความเข้มข้นและจิบทีละน้อยครับ
วิธีการสังเกตุอาการขาดน้ำในเด็กเพื่อป้องกันการท้องเสีย
  1. ปากแห้ง ผิวแห้ง: เด็กที่กำลังขาดน้ำอาจมีอาการปากแห้งหรือผิดแห้ง เราสามารถตรวจสอบความลักษณะผิวได้โดยการหยิบและปล่อยผิวบนหลังมือหรือแขนเบาๆ หากผิวไม่ยืดหยุ่นกลับสู่ตำแหน่งปกติอย่างรวดเร็ว อาจแสดงถึงอาการขาดน้ำ
  2. ปัสสาวะน้อยลง: การเดินทางไปห้องน้ำน้อยลงหรือปัสสาวะที่ดูมีสีเข้มและเข้มข้นมากขึ้นอาจเป็นสัญญาณของการขาดน้ำ
  3. ตาลึก: ตาของเด็กที่ลึกลงหรือมีวงแหวนรอบดวงตาอาจเป็นสัญญาณของการขาดน้ำ
  4. โกรธหรืออ่อนเพลีย: เพราะการขาดน้ำทำให้สมดุลในร่างกายผิดปกติและส่งผลถึงอารมณ์ เด็กที่กำลังขาดน้ำอาจกลายเป็นคนขี้โมโหหรือรู้สึกอ่อนเพลียหรือง่วงได้
  5. กระหายน้ำ: เด็กที่กำลังขาดน้ำร่างกายจะเพิ่มความความกระหายน้ำให้เพื่อให้ร่างกายหามาเติมเต็ม
  6. ร้องไห้ไม่มีน้ำตา: โดยเฉพาะเด็กทารกที่ร้องไห้บ่อย อาจจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตาเพราะร่างกายขาดน้ำ
  7. อัตราการเต้นของหัวใจสูง: การกระหายน้ำอาจทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นในเด็ก
  8. ผิวแดงเป็นจ้ำ: จากการที่ร่างกายพยายามเก็บของเหลวไปใช้กับอวัยวะที่สำคัญก่อน
  9. หน้าหน้ามืดง่าย เป็นลม: สมดุลของน้ำ และ เกลือแร่ในร่างกายที่เปลี่ยนไปอาจจะทำให้ความดันต่ำและเวียนหัวง่าย

2. เปลี่ยนปรับอาหาร 

  • ลองให้ลูกเปลี่ยนมาเป็นอาหารอ่อนก่อนหนึ่งวัน[5] งานวิจัยจาก USA เรียก BRAT ประกอบด้วยกล้วย (banana), ข้าว (rice), ซอสแอปเปิ้ล (apple sauce), และขนมปังปิ้ง (bread) อาหารเหล่านี้สามารถอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหารที่เป็นทุกข์ได้ สำหรับคนไทยหาง่ายก็จะเป็นข้าวต้ม, กล้วยบด, มันฝรั่งบด, มะละกอบด, ไก่ต้ม-นึ่ง (ไม่ปรุงรส), โยเกิร์ต (รสจืด-เลือกที่มี Probiotic สายพันธุ์ดี) เลือกตามที่ลูกคุ้นเคยและทานง่ายได้เลยครับ
  • หลีกเลี่ยงอาหาร รสจัด, เผ็ด, ทอด, มัน *สามารถใส่เกลือเพื่อทดแทนการสูญเสียเกลือแร่ได้ แต่ไม่ควรมากเกินไปเพราะจะระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารของลูก
  • อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อาการดีขึ้นแล้วให้ค่อยๆปรับมารับประทานตามปกติเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน

3. ระมัดระวังกับผลิตภัณฑ์นม 

อาการท้องเสียอาจทำให้เด็กไม่สามารถทนต่อแลคโตสได้ชั่วคราว[6] อาจเป็นการดีที่จะหลีกเลี่ยงนมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ สักสองสามวันจนกว่ากระเพาะจะคลายตัว (โดยเฉพาะกับเด็กโซนบ้านเราเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการแพ้หรือย่อยแลคโตสได้ยากอยู่แล้ว)

4. สัญญาณของภาวะขาดน้ำที่ต้องระวัง 

  • ปากแห้ง ผิวแห้งและเย็น: เด็กที่กำลังขาดน้ำอาจมีอาการปากแห้งหรือผิดแห้ง เราสามารถตรวจสอบความลักษณะผิวได้โดยการหยิบและปล่อยผิวบนหลังมือหรือแขนเบาๆ หากผิวไม่ยืดหยุ่นกลับสู่ตำแหน่งปกติอย่างรวดเร็ว อาจแสดงถึงอาการขาดน้ำ
  • ปัสสาวะน้อยลง: การเดินทางไปห้องน้ำน้อยลงหรือปัสสาวะที่ดูมีสีเข้มและเข้มข้นมากขึ้นอาจเป็นสัญญาณของการขาดน้ำ
  • ตาลึก: ตาของเด็กที่ลึกลงหรือมีวงแหวนรอบดวงตาอาจเป็นสัญญาณของการขาดน้ำ
  • หงุดหงิดง่าย อ่อนเพลียง่าย: เพราะการขาดน้ำทำให้สมดุลในร่างกายผิดปกติและส่งผลถึงอารมณ์ เด็กที่กำลังขาดน้ำอาจกลายเป็นคนขี้โมโหหรือรู้สึกอ่อนเพลียหรือง่วงได้
  • กระหายน้ำ: เด็กที่กำลังขาดน้ำร่างกายจะเพิ่มความความกระหายน้ำให้เพื่อให้ร่างกายหามาเติมเต็ม
  • ร้องไห้ไม่มีน้ำตา: โดยเฉพาะเด็กทารกที่ร้องไห้บ่อย อาจจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตาเพราะร่างกายขาดน้ำ
  • อัตราการเต้นของหัวใจสูง: การกระหายน้ำอาจทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นในเด็ก
  • ผิวแดงเป็นจ้ำ: จากการที่ร่างกายพยายามเก็บของเหลวไปใช้กับอวัยวะที่สำคัญก่อน
  • หน้าหน้ามืดง่าย เป็นลม: สมดุลของน้ำ และ เกลือแร่ในร่างกายที่เปลี่ยนไปอาจจะทำให้ความดันต่ำและเวียนหัวง่าย

หากสังเกตเห็นอาการเหล่านี้กรุณาปรึกษากุมารแพทย์ทันที[7]

5. สะอาด สุขอนามัยต้องมาก่อน 

เน้นการล้างมือเป็นประจำ นอกจากป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายลูกเพิ่มแล้ว ยังพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียไปยังสมาชิกครอบครัวคนอื่นด้วย[8]

6. หลีกเลี่ยงยาตามร้ายขายยาทั่วไป

นอกจากเกลือแร่ พยายามหลีกเลี่ยงการให้ยาแก้ท้องเสียที่จำหน่ายตามร้านขายยา เว้นแต่แพทย์จะสั่งจ่าย[9] เพื่อความปลอดภัยสูงสุดสำหรับลูกน้อย

7. ปล่อยให้พวกเขาพักผ่อน 

ร่างกายของเด็กสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหากพักผ่อนอย่างเพียงพอ[10] ให้แน่ใจว่าพวกเขาได้นอนหลับและพักผ่อนตามที่ต้องการ

8. หากจำเป็น ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

หากอาการท้องเสียยังคงอยู่นานกว่าสองวัน หรือหากมีอาการร่วม เช่น ไข้สูง, อุจจาระเป็นเลือด, หรืออาเจียนต่อเนื่อง โปรดไปพบแพทย์ทันที[11]

โปรดจำไว้ว่า แม้ว่าอาการท้องร่วงจะพบได้บ่อยในเด็ก แต่การจัดการอย่างรวดเร็วและเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ลูกของคุณจะกลับมาเป็นน่ารัก สดใส ขี้เล่นอีกครั้งในเวลาไม่นาน

อ้างอิงข้อมูลจาก:
  1. “Dehydration in Children”, Dr. Sarika Raj, India
  2. “การสูญเสียของเหลวและท้องร่วงในเด็ก” นพ. อัญชลี อยู่เส็ง ประเทศไทย
  3. “Role of ORS in Pediatric Diarrhea”, World Health Organization
  4. “Impact of Sugary Drinks on Digestive Health”, Dr. Joseph Mercola, USA
  5. “BRAT Diet for Gastrointestinal Issues”, Dr. Michael Picco, Mayo Clinic, USA
  6. “การแพ้แลคโตสหลังท้องเสีย” โดย นพ. สุนีย์ นูเนซ ประเทศไทย
  7. “สัญญาณของภาวะขาดน้ำในเด็ก” นพ. รุจิรัตนา สุดดี ประเทศไทย
  8. “Handwashing: First Line of Defense”, Centers for Disease Control and Prevention, USA 
  9. “Safe Use of Medications for Children with Diarrhea”, Dr. Yen-Chun Peng, Taiwan 
  10. “Rest and Recovery for Pediatric Illnesses”, Dr. Ayesha Cheema, USA 
  11. เมื่อใดควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการท้องเสียในเด็ก” นพ.ภูมิ มาลากุล ประเทศไทย

สาเหตุโรคท้องเสียในเด็กเชิงลึกและคำแนะนำเบื้องต้นในการดูแล

การเห็นลูกของคุณมีอาการท้องเสียซ้ำๆ ร่วมกับหรือไม่แสดงอาการอื่นๆ อาจทำให้น่าวิตกกังวลได้ เพื่อบรรเทาความกังวลและเพิ่มความเข้าใจ เราได้เจาะลึกถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ที่อยู่เบื้องหลัง และคำแนะนำในแต่ละโรคดังนี้

1. โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ (Gastroenteritis-Stomach Flu)
  • ภาพรวม: มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต ส่งผลให้ทั้งอาเจียนและท้องร่วง กระเพาะและลำไส้อักเสบอาจจะไม่มีอาการไข้ร่วมด้วยเสมอไป
  • คำแนะนำ: ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าลูกของคุณล้างมือเป็นประจำและรับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกดี หากยังมีอาการอยู่ควรไปพบแพทย์
2. ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอาหาร (Food-Related Issues)
  • อาหารเป็นพิษ: การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนอาจทำให้อาเจียนและท้องเสียได้อย่างรวดเร็ว
  • แพ้อาหารหรือย่อยได้ไม่ดี: อาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือสร้างปัญหาทางเดินอาหารได้ มักจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์
  • คำแนะนำ: ติดตามปฏิกิริยาของลูกน้อยหลังมื้ออาหาร และพิจารณาจดบันทึกเอาไว้ทุกครั้ง เช่น ท้องอืด, ไม่สบายตัว, ทานน้อย เป็นต้น (สามารถใช้ตรวจสอบความชอบในการทานของลูกได้ด้วย)
3. ปัจจัยภายนอก (External Factors)
  • สารพิษ: การกลืนสารที่เป็นอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจอาจทำให้เกิดอาการทางเดินอาหารได้
  • ยา: ยาบางชนิดอาจทำให้ปวดท้องหรือรบกวนระบบทางเดินอาหาร เช่น ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ)
  • การท่องเที่ยว: สภาพแวดล้อมหรืออาหารใหม่ระหว่างการเดินทางอาจทำให้เกิดปัญหาในการย่อยอาหารได้
  • คำแนะนำ: หากลูกทานแล้วไม่ปกติตรวจสอบสภาพแวดล้อมและหาข้อมูลสาเหตุเพื่อหลีกเลี่ยง หรือไปพบแพทย์หากยาที่ทานก่อให้เกิดผลข้างเคียง
4. เงื่อนไขที่ร้ายแรง (พบน้อย)
  • ไส้ติ่งอักเสบ: โดยทั่วไปจะมีอาการเจ็บปวดและอาจมีไข้บ้างแต่อาจทำให้อาเจียนหรือท้องเสียได้
  • สิ่งกีดขวางในลำไส้: สิ่งใดก็ตามที่ขัดขวางการไหลเวียนตามปกติในลำไส้อาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหารได้
  • คำแนะนำ: หากลูกของคุณมีอาการปวดอย่างรุนแรงหรือมีอาการเป็นเวลานานภาวะดังกล่าวต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที
5. ปัจจัยทางอารมณ์และจิตวิทยา (Emotional & Psychological Factors)
  • ความเครียดหรือความวิตกกังวล: ประสบการณ์ใหม่หรือเหตุการณ์ตึงเครียดสามารถแสดงออกทางร่างกายได้โดยการอาเจียนหรือท้องเสีย
  • คำแนะนำ: การสื่อสาร พูดคุย รับฟังเป็นสิ่งสำคัญ พูดคุยกับลูกน้อยของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับรู้สภาวะทางความคิดและอารมณ์ของเค้า และพิจารณาการให้คำปรึกษาหากจำเป็น
6. ภาวะเรื้อรัง (Chronic Conditions)
  • อาการลำไส้แปรปรวน (IBS): ความผิดปกติในการทำงานที่ทำให้เกิดอาการลำไส้กำเริบ
    (อ้างอิง: “ภาพรวม IBS ในเด็ก”, ดร. อัญชลี อยู่เส็ง ประเทศไทย)
  • โรค Celiac: การตอบสนองภูมิต้านทานตนเองต่อกลูเตน
    (อ้างอิง: “Celiac Disease in Children”, Dr. Elena Verdu, Canada)
  • โรคลำไส้อักเสบ (IBD): สภาวะเช่นโรคโครห์นอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงเรื้อรังได้
    (อ้างอิง: “Pediatric IBD Overview”, Dr. Fernando Gomollón, Spain)
  • คำแนะนำ: อาการเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงอาหารและวิถีชีวิตอาจเป็นประโยชน์
7. สาเหตุอื่นๆ
  • การติดเชื้อภายนอกลำไส้: เช่นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอาจแสดงอาการด้วยการอาเจียน
    (อ้างอิง: “Medication Effects on Gut Health”, Dr. Yehuda Ringel, USA)
  • การติดเชื้อปรสิต: เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิที่อยู่ในน้ำที่ไม่ได้รับการกรองหรือต้ม, โรคนี้สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสีย, ปวดท้อง, และการดูดซึมสารอาหารผิดปกติ
    (อ้างอิง: “การติดเชื้อปรสิตในลำไส้ในเด็ก” โดย นพ. ปิยะรัตน์ ภู่ทอง ประเทศไทย)
  • โรคท้องร่วงของเด็กวัยหัดเดิน: เมื่อเด็กเล็กมีอาการท้องเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ
    (อ้างอิง “โรคท้องร่วงและการลดน้ำหนักของเด็กวัยหัดเดิน” โดย นพ. ปฏิมา ศีลสุภดล ประเทศไทย)

ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าบุตรหลานของคุณสามารถเข้าถึงน้ำสะอาด รักษาสุขอนามัยที่ดี และรับประทานอาหารที่สมดุลในชีวิตประจำวัน แม้ว่าอาการท้องเสียอาจทำให้รู้สึกวิตกกังวล แต่ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง การสังเกตุต่อเนื่อง และการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างทันท่วงที เด็กส่วนใหญ่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *