ลูกปัสสาวะรดที่นอน อาจส่งสัญญาณเตือนซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เป็นปัญหาที่พบบ่อย ส่งผลกระทบต่อเด็กและครอบครัว ทั้งในด้านสัมพันธภาพภายในครอบครัว และความเชื่อมั่นในตนเองของเด็ก ส่วนใหญ่ปัญหาปัสสาวะรดที่นอนเกิดบ่อยในช่วงเวลากลางคืน
ไม่ใช่สัญญาณที่บ่งชี้ว่าเกิดจากการฝึกเข้าห้องน้ำไม่ดี เป็นเรื่องปกติของพัฒนาการของเด็ก กระเพาะปัสสาวะเติบโตเต็มที่เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างส่วนต่างๆ ของสมองและระบบประสาท การปัสสาวะรดที่นอนสามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน แต่จะพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง
ถ้าลูกอยู่ในวัย 5 ขวบขึ้นไป ปัสสาวะรดที่นอนมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่าง เช่น ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โครงสร้างของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ผิดปกติ เป็นโรคเบาหวานหรือเบาจืด จึงจำเป็นต้องพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจ
เลือกอ่าน :
สาเหตุที่ลูกปัสสาวะรดที่นอน
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ความผิดปกติของระบบการขับถ่ายปัสสาวะ
- โรคต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน หรือเบาจืด
- โรคระบบประสาทที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมการปัสสาวะ
- ความผิดปกติของการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
- เหตุการณ์ที่ตึงเครียด เช่น การมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว การเริ่มเข้าโรงเรียนใหม่ หรือการเปลี่ยนสถานที่นอน อาจทำให้เด็กปัสสาวะรดที่นอนได้
โดยทั่วไปแล้ว การปัสสาวะรดที่นอนก่อนอายุ 7 ปีไม่ใช่เรื่องน่ากังวลในวัยนี้ ลูกอาจยังคงพัฒนาการควบคุม กระเพาะปัสสาวะในเวลากลางคืน เด็กส่วนใหญ่ได้รับการฝึกเข้าห้องน้ำอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ 5 ขวบ สำหรับเด็กบางคน อาจใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อย แต่แม้กระทั่งหลังจากอายุ 7 ขวบ เด็กประมาณร้อยละ 15 เปอร์เซ็นต์จะประสบภาวะปัสสาวะรดที่นอน พ่อแม่จึงต้องใช้ความอดทนและค่อยๆฝึกลูก
ในบางกรณีการปัสสาวะรดที่นอนอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสภาวะที่ซ่อนอยู่ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ท้องผูกเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือพฤติกรรมการปัสสาวะในเวลากลางวันที่ไม่ดี การติดเชื้ออาจทำให้ลูกควบคุมการปัสสาวะได้ยาก นอกจากนี้ยังใช้กล้ามเนื้อเดียวกันเพื่อ ควบคุมการกำจัดปัสสาวะและอุจจาระ เมื่อท้องผูกเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อเหล่านี้จะทำงานได้ไม่ดีเช่นกัน และส่งผลให้ปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน
ปัสสาวะรดที่นอนสามารถสร้างปัญหาให้กับลูกได้ เช่น
- ผื่นที่ก้นเด็กและบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกนอนโดยสวมชุดชั้นในที่เปียกฉี่ตลอดคืน
- ความรู้สึกผิดและความอับอายซึ่งอาจนำไปสู่การเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ
- การสูญเสียโอกาสในการทำกิจกรรมทางสังคม เช่น การค้างคืนและการเข้าร่วมแคมป์
- หลังจากกำจัดปัจจัยเสี่ยง เช่น อาการท้องผูกแล้ว การรักษาเบื้องต้นที่บ้านได้ เช่น กิจวัตรการเข้า ห้องน้ำก่อนนอน และการให้เข้าห้องน้ำเป็นประจำในระหว่างวัน
- ปรึกษาแพทย์อาจสั่งจ่ายยาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อชะลอการผลิตปัสสาวะในเวลากลางคืน
- ปรึกษาแพทย์หากลูกยังคงฉี่รดเที่นอนหลังจากอายุ 7 ขวบ หรือหากสังเกตเห็นว่าลูกเจ็บเวลาปัสสาวะ กระหายน้ำผิดปกติ ปัสสาวะสีชมพูหรือสีแดง อุจจาระแข็ง หรือนอนกรน อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึง ปัญหาที่ซ่อนอยู่
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อช่วยลูกๆ
- ลดปริมาณการดื่มน้ำน้ำหรือนมในตอนเย็น สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่าลูกได้รับน้ำเพียงพอระหว่างวัน ควรส่งเสริมให้ดื่มในตอนเช้าและช่วงบ่าย ซึ่งอาจช่วยลดความกระหายในตอนเย็นได้
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและอาหารที่มีคาเฟอีนหรือมีน้ำตาลสูง เนื่องจากคาเฟอีนกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทำให้ไตผลิตปัสสาวะมากขึ้น
- เตือนลูกว่าสามารถใช้ห้องน้ำในเวลากลางคืนได้หากจำเป็น เปิดไฟกลางคืนให้ส่องทางเดินระหว่างห้องนอนและห้องน้ำตลอดในช่วงที่ฝึกลูก
- ป้องกันการเกิดผดผื่นที่เกิดจากชุดชั้นใน ควรช่วยให้ลูกล้างก้นและบริเวณอวัยวะเพศทุกเช้า ทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนนอน
- ไวต่อความรู้สึกของลูก หากลูกเครียดหรือวิตกกังวล กระตุ้นให้ลูกแสดงความรู้สึกเหล่านั้น ให้การสนับสนุนและส่งเสริมความเป็นผู้ใหญ่ เมื่อลูกรู้สึกสงบและปลอดภัย ปัญหาปัสสาวะรดที่นอนจะลดลง
- หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอ้อมในช่วงเวลากลางคืน เพราะสิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้น ให้เกิดความรู้สึกว่าสามารถ “ฉี่ใส่ผ้าอ้อม” ได้โดยไม่ต้องไปเข้าห้องน้ำ
- ปัสสาวะรดที่นอนเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นจึงไม่ควรลงโทษ หรือแกล้งลูกที่ฉี่รดที่นอน
- ให้ชมเชยลูกที่ทำกิจวัตรก่อนนอนและช่วยทำความสะอาดหลังเกิดปัสสาวะรดที่นอน ใช้การให้รางวัลด้วยสติกเกอร์เด็กดี
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
เป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยเด็ก ระบบทางเดินปัสสาวะประกอบด้วยไตและท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ เมื่อแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ หรือทางเดินอาหารอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ เรียกว่าการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากการคั่งค้างของปัสสาวะร่วมกับการปนเปื้อนจุลินทรีย์ผ่านเข้าทางท่อปัสสาวะ แบคทีเรีย ที่มักพบในอุจจาระ คิดเป็นประมาณ 80 % ของโรคติดเชื้อในเด็ก สาเหตุที่พบไม่บ่อยของการติดเชื้อทางเดิน ปัสสาวะ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัสประเภทอื่นๆ แบคทีเรียมีอยู่มากมายในร่างกายทั้งบน ผิวหนัง ในลำไส้ และในอุจจาระ
ปัจจัยที่ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากขึ้น ได้แก่
- รอนานเกินไปกว่าจะเข้าห้องน้ำได้ นิสัยการถ่ายปัสสาวะที่ไม่เหมาะสม
- ถ่ายปัสสาวะไม่หมด
- ในเด็กผู้หญิง ต้องเช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แบคทีเรียในอุจจาระ เข้าไปในช่องท่อปัสสาวะ
- อาการท้องผูกที่รบกวนการไหลของปัสสาวะ
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับ UTIs
เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีอาการไข้ ร้องกวน หรือมีอาการปวดท้องเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีแดง หรือขุ่น ปัสสาวะบ่อย ไม่สุด บางคนมาด้วยอาการเบื่ออาหาร อาเจียน ถ่ายเหลว เมื่อตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน จะทำการเก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจโดยการดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และส่งเพาะเชื้อเพื่อทราบชนิดของการติดเชื้อ
อาการที่แสดง
- ปัสสาวะแสบขัด
- รู้สึกเจ็บปวดหรือแสบร้อนเมื่อปัสสาวะ ปัสสาวะมีสีขุ่น สีเข้มปนเลือด หรือมีกลิ่นเหม็น
- ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
- ไข้
- ปวดบริเวณท้องน้อยหรือหลัง
การรักษาให้ถูกวิธี
ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จึงจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาการติดเชื้อทางเดิน ปัสสาวะ ซึ่งแพทย์จะเลือกชนิดและขนาดของยา รวมทั้งวิธีการให้ยาให้เหมาะสมกับสภาวะการติดเชื้อที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจเป็นการให้ยาฉีดหรือยารับประทาน
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้
- สิ่งสำคัญคือต้องสอนลูก ฝึกสุขนิสัยในการขับถ่าย
- สุขอนามัย หลังจากถ่ายอุจจาระแต่ละครั้ง ควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง ไม่ใช่จากด้านหลังไปด้านหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายจากทวารหนักไปยังท่อปัสสาวะ
- สอนลูกว่า “อย่ากลั้นปัสสาวะ” หากจำเป็นต้องฉี่ เด็กบางคนเพิกเฉยต่อความรู้สึกของกระเพาะปัสสาวะเต็ม เพราะไม่ต้องการหยุดสิ่งที่ทำ เพื่อใช้เวลาไปเข้าห้องน้ำ ปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะ ปัสสาวะนานเกินไปจะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโต
- ดื่มน้ำสะอาดปริมาณมากในแต่ละวัน การปัสสาวะช่วยชะล้างแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ
- ป้องกันท้องผูก โดยฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานผักผลไม้และอาหารที่มีเส้นใยเป็นประจำ
- ให้สวมชุดชั้นในผ้าฝ้าย ซึ่งจะช่วยป้องกันการสะสมของความชื้นรอบๆ ท่อปัสสาวะ หลังจากว่ายน้ำให้เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้ง แทนการนั่งเล่นในชุดว่ายน้ำ และหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงรัดรูป กางเกงขาสั้น หรือเลกกิ้ง
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำแบบนอนแช่ฟองสบู่ สบู่ที่มีกลิ่นหอม และสารอื่นๆ ที่อาจระคายเคืองต่ออวัยวะเพศและท่อปัสสาวะ
Ref.