ตรวจสุขภาพเด็กสำคัญอย่างไร ต้องตรวจอะไรบ้าง?

ตรวจสุขภาพเด็ก

การตรวจเช็คสุขภาพเด็กมีความสําคัญไม่แพ้ผู้ใหญ่ เพราะหากพบความผิดปกติโดยเร็วย่อมช่วยให้ดูแลรักษาได้ทันท่วงที และป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นได้ถูกวิธี ทําให้ไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการตามวัยของเด็ก นับเป็นพื้นฐานการมีสุขภาพดีที่พ่อแม่ไม่ควรละเลย เพื่อให้เจ้าตัวเล็กเติบโตอย่างแข็งแรงในอนาคต 

การเปลี่ยนแปลงในแต่ละระยะของเด็กก็มีลักษณะเฉพาะ ดังนั้น รายละเอียดที่กุมารแพทย์จะต้องติดตามดูแลและเฝ้าระวังจะเยอะกว่าการดูแลผู้ใหญ่ สิ่งที่สําคัญก็คือการติดตามประเมินพัฒนาการ พฤติกรรม การเจริญเติบโตของเด็กว่าเป็นไปอย่างเหมาะสมหรือไม่ 

การให้คําแนะนําพ่อแม่เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดู การเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาทางสุขภาพ การแนะนําวิธีการส่งเสริมพัฒนาการ การค้นหาปัญหาและแนะนําโภชนาการที่เหมาะสมกับวัย คุณแม่ที่มีลูกวัยประถม หรือกําลังอยู่ในช่วง 5-12 ปี ต้องคอยดูแลลูกที่กําลังโตทั้งด้านสุขภาพ ความคิด และจิตใจ รวมถึงการเติบโตย่างเข้าสู่วัยรุ่น 

ตรวจสุขภาพเด็กตามวัย 

  • การเปลี่ยนแปลงของเด็ก ๆ ในแต่ละระยะก็มีลักษณะเฉพาะ ดังนั้นรายละเอียดที่กุมารแพทย์จะต้อง ติดตามดูแลและเฝ้าระวังจะมีมากกว่าการดูแลผู้ใหญ่ 
  • เด็กๆ มีสิ่งที่จําเป็นนับสิบรายการที่ต้องทํามากกว่าแค่การให้วัคซีน โดยเฉพาะการติดตามประเมิน พัฒนาการ พฤติกรรม การเจริญเติบโตของเด็ก และการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาทางสุขภาพ 
  • เด็กมีสุขภาพดี ไม่ป่วยง่าย เริ่มต้นจากการมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง การตรวจสุขภาพเด็ก ๆ เปรียบเสมือนการเช็คความพร้อมของร่างกาย ว่าจําเป็นต้องเสริมสร้างอะไรตรงไหนหรือไม่ 

การดูแลสุขภาพเบื้องต้น 

บทบาทสําคัญในฐานะพ่อแม่คือการดูแลลูกที่กําลังเติบโตให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดูแลอาหารที่มีประโยชน์ ส่งเสริมสุขภาพและตรวจสุขภาพ รับวัคซีนอย่างสม่ำเสมอ ให้เวลาเล่นและทํากิจกรรม ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางสังคมกับลูก นอนหลับพักผ่อนเป็นเวลา ตลอดจนการดูแลเฉพาะทางใน สภาวะปกติและเจ็บป่วย 

การเลือกใช้บริการทางสุขภาพ 

ในหลายครอบครัว เด็ก ๆ ยังคงได้รับการดูแลจากผู้ให้บริการทางการแพทย์รายเดิมที่ดูแลตั้งแต่ยังเป็นทารก การที่จะเลือกหรือตัดสินใจในการเลือกใช้สวัสดิการเหล่านี้เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดควรมีความรู้ความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 

  • ทางเลือกของพ่อแม่ เลือกผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความเข้าใจในด้านการบริการสุขภาพสาธารณสุขเบื้องต้น มีความรู้มีความสามารถเด่นในเรื่องใด มีใครที่เรารู้จักเป็นการส่วนตัวหรือไม่ เช่น เป็นเครือญาติ พี่น้องหรือมิตรสหายคนรู้จัก ซึ่งอาจทําให้ง่ายต่อการติดต่อ และปรึกษา 
  • กุมารแพทย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลเด็กตั้งแต่วัยทารกจนถึงวัยรุ่น กุมารแพทย์จะจบหลักสูตรเป็นเวลา 3 ปี ทําให้ใช้ความรู้ในการรักษาความเจ็บป่วยในวัยเด็กที่หลากหลาย 
  • แพทย์ประจําครอบครัว แพทย์ที่สามารถให้การดูแลสมาชิกทุกคนในครอบครัว การฝึกอบรมด้านการแพทย์หลายด้านช่วยดูแลได้ตลอดวัย รักษาปัญหาที่พบบ่อยที่สุด เช่น หวัด เจ็บคอ และโรคเรื้อรัง โรคต่างๆ เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง แพทย์ประจําครอบครัวจะมีความคุ้นเคยกับประวัติทางการรักษาของครอบครัวเป็นอย่างดี 
  • ผู้ให้บริการระดับกลาง ผู้ปฏิบัติงานพยาบาลและผู้ช่วยแพทย์ มีความรู้ความเข้าใจในด้านการบริการสุขภาพสาธารณสุขเบื้องต้น การตรวจสุขภาพ การตรวจโรค การป้องกันโรค รวมไปถึงสิทธิด้านการส่งเสริมสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติตนของผู้ป่วยให้เหมาะสม ในขั้นตอนการรับบริการและการรักษาโรค 

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกใช้บริการทางสุขภาพ

1.ความต้องการของพ่อแม่คืออะไร 

2.ประกันของลูกและเงื่อนไขการให้บริการเหมาะสมกันหรือไม่? 

3.พ่อแม่จะได้ตรวจหรือพบแพทย์ประจําหรือไม่? 

4.เข้าถึงผู้ให้บริการได้ง่ายหรือไม่? 

5.ผู้ให้บริการมีสิทธิโรงพยาบาลที่ไหน? 

6.มีสิ่งอํานวยความสะดวกอะไรบ้าง? 

สิ่งที่ลูกควรได้รับเมื่อไปตรวจสุขภาพทุกครั้ง

1.การพูดคุยซักประวัติสุขภาพ โดยพยาบาลและกุมารแพทย์ 

2.การตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต ชีพจร อัตราการเต้นของหัวใจ ชั่งน้ำหนักส่วนสูง การฟังหัวใจและปอด การสัมผัสบริเวณท้อง และการทดสอบปฏิกิริยาตอบสนอง ตรวจตา หูและปาก แนวกระดูกสันหลัง อวัยวะเพศ รูปแบบการเดิน และลักษณะทางกายภาพอื่น ๆ

ตรวจสุขภาพเด็กแต่ละวัย ควรตรวจกี่ครั้ง นอกเหนือจากนี้คงเป็นสุขภาพทางด้านร่างกาย การตรวจเพิ่มเติมบางอย่าง เช่น ตรวจการมองเห็น การได้ยิน การตรวจเลือดเพื่อคัดกรองโรค การส่งต่อเด็กให้หมอฟันเพื่อการดูแลฟันที่ดี ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถแบ่งออกมา ดังนี้ 

  • วัยทารก ต้องได้รับการดูแล อย่างน้อย 7 ครั้ง (0-7 วัน, 1, 2, 4, 6, 9, 12เดือน) 
  • ปฐมวัย อย่างน้อย 4 ครั้ง (18เดือน, 2, 3, และ 4 ปี) 
  • วัยเรียน อย่างน้อย 3 ครั้ง (6,8, และ 10 ปี) 
  • วัยรุ่น อย่างน้อย 3 ครั้ง (11-14, 15-17, 18-21 ปี) 

สิ่งที่จําเป็นในการตรวจสุขภาพเด็กในแต่ละช่วงวัย 

  • ตรวจเลือดคัดกรองทารกแรกเกิด ใน 1เดือนแรก 
  • วัดรอบศีรษะ ในเด็ก 2 ปีและเล็กกว่า 
  • ตรวจการได้ยินด้วยเครื่องมือพิเศษ อย่างน้อย 1 ครั้ง ในช่วงอายุ 6 เดือนแรก 
  • ประเมินการได้ยินโดยซักถามที่ช่วงอายุ 4 เดือน – 6 ปี 
  • ตรวจคัดกรองพัฒนาการ ที่อายุ 9 เดือน, 18 เดือน, และ 3 ปี 
  • วัคความดันโลหิตและวัดสายตาโดยใช้เครื่องมือ ในเด็กตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป 
  • พบหมอฟันตั้งแต่ช่วง 12 เดือน -2 ปี 
  • ตรวจความเข้มข้นของเลือดที่ช่วงอายุ 6 -12เดือน, 3-6 ปี, และวัยรุ่นหญิง 

3.ประเมินการเจริญเติบโต (ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง) 

ในแต่ละช่วงเวลาการเติบโตของเด็กย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่แตกต่างกัน การติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสําคัญ เพื่อดูแลสุขภาพเด็กให้สมบูรณ์และเสริมสิ่งที่ขาดอย่างเหมาะสม 

ดัชนีที่ใช้วัดในการประเมินการเจริญเติบโต ใช้น้ำหนักและส่วนสูงในการประเมินภาวะการเติบโต มี 3 ดัชนีคือ 

1.น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ 

2.ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ 

3.น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง 

  • วัยเด็กตั้งแต่ 5-12 ปี เน้นตรวจด้านพัฒนาการ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง มีการวัดสายตา เพื่อแก้ปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง วัดความดันโลหิต วัดระดับความเข้นข้นของเลือด รวมถึงคําแนะนําที่เหมาะสมด้านการเรียน การเล่น การเข้าสังคมเพื่อให้ปรับตัวได้ถูกต้อง 
  • วัยรุ่น 13-15 ปี ร่างกายจะแข็งแรงโตเต็มวัย แต่อาจละเลยการรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ การออกกําลังกาย การใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม จําเป็นต้องตรวจสุขภาพโดยรวมเพื่อป้องกันโรคในระยะยาว 
  • กุมารแพทย์จะติดตามการเจริญเติบโตของเด็กเป็นประจํา การเติบโตอย่างรวดเร็วในวัยทารกและวัย เตาะแตะจะช้าลงเล็กน้อยเมื่อลูกเข้าสู่วัยอนุบาลและวัยเรียน 

ทําไมต้องวัด BMI ของลูก? 

BMI คือเครื่องมือคัดกรองตามค่าเฉลี่ยของประชากรที่ใช้น้ำหนักสัมพันธ์กับส่วนสูงเพื่อประเมินว่าคนๆ หนึ่งอาจมีน้ำหนักน้อย น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน 

ระดับอาหารและกิจกรรมโดยรวมของเด็ก ดูว่าลูกของเรามี BMI อยู่ในระดับใดโดยเปรียบเทียบจากค่า BMI ด้านล่าง สามารถใช้เกณฑ์ขององค์กร Center of Disease Control (CDC) ของสหรัฐฯ ที่ระบุไว้ว่า 

  • เปอร์เซนไทล์น้อยกว่า 5 ถือว่าเด็กมีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป 
  • เปอร์เซนไทล์ตั้งแต่ 5 แต่ไม่เกิน 85 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ 
  • เปอร์เซนไทล์ตั้งแต่ 85 แต่ไม่เกิน 95 ถือว่ามีความเสี่ยงน้ำหนักเกิน 
  • เปอร์เซนไทล์ตั้งแต่ 95 เป็นต้นไป ถือว่าน้ำหนักเกิน 

มาดูวิธีอ่านกราฟค่า BMI เด็กกัน สมมติว่าลูกชายของคุณพ่อคุณแม่อายุ 9 ขวบ สูง 1.30 ม. หนัก 34 กก. คํานวณ BMI ตามสูตรข้างต้นออกมาแล้วได้ค่า BMI ที่ 20.12 เมื่อเทียบกับกราฟนี้แล้วจะเห็นว่าอยู่ตรง เปอร์เซนไทล์ที่เกิน 90 มาเล็กน้อย แสดงว่ามีความเสี่ยงน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ปกติ 

ค่า BMI เด็กมีประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่เพราะเป็นเกณฑ์ที่ช่วยในการประเมินการเจริญเติบโตด้านร่างกายของลูกได้ก็จริง แต่ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ยึดติดแต่กับตัวเลขนี้เท่านั้น ควรใช้ BMI เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจการเติบโตของลูกได้ดีขึ้นมากกว่าจะเป็นตัวเลขที่นําไปสู่การสร้างกรอบและกฎเกณฑ์ให้กับลูกจนทำลายบรรยากาศการเลี้ยงดู 

4.ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน หากดูแลฟันน้ำนมไม่ดี มีฟันผุ แปรงฟันไม่สะอาดหรือมีเชื้อโรคในช่องปาก ก็อาจจะส่งผลกระทบไปถึงฟันแท้ เด็กวัยเรียนมีฟันขึ้นครบ 28 ซี่แล้ว โดยฟันกรามถาวรซี่แรกจะขึ้นต่อจากฟันน้ำนมในช่วงอายุ 6-7 ปี และ ฟันกรามซี่ที่ 2 จะขึ้นในช่วงอายุ 11-13 ปี และแพทย์จะทําการตรวจฟันเป็นประจํา

5.การได้ยินและการมองเห็น แพทย์ประเมินการได้ยินและการมองเห็นเป็นระยะโดยใช้วิธีการต่างๆ การ ตรวจการได้ยินจะมองหาสัญญาณของการสูญเสียการได้ยิน ซึ่งในวัยนี้โดยทั่วไปเป็นผลมาจากการติดเชื้อ การบาดเจ็บ รวมถึงตรวจหาความผิดปกติของดวงตา และประเมินว่าเป็นอย่างไร ความคมชัดของการมองเห็น 

6.สอบถามเรื่องพัฒนาการ 

ช่วงเวลา 3 ขวบปีแรก ช่วงที่สําคัญที่สุดในการพัฒนาศักยภาพทางด้านสติปัญญา สังคม และอารมณ์ หากลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องเหมาะสมทั้งทางร่างกายและจิตใจ จะส่งผลให้ลูกพัฒนาได้เต็มศักยภาพของตนเอง ความล่าช้าหรือการเบี่ยงเบนของพัฒนาการสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกและจะมีความสําคัญมาก เพราะการช่วยเหลือแก้ไขยิ่งเร็วเท่าไร ก็จะได้ผลดีมากขึ้น 

7.ประเมินปัญหาทางจิตใจ สังคม พฤติกรรม ความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ 

ส่วนใหญ่แล้วนี่เป็นโอกาสของแพทย์ที่จะรับรองว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่คนเดียวในความกังวล และครอบครัวเราก็เหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ ที่ประสบกับความเครียดในชีวิตประจําวัน แพทย์สามารถให้คําแนะนําหรือ แหล่งข้อมูลที่สามารถช่วยรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีในครอบครัวได้ 

8.การฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามช่วงวัย 

วัคซีนเป็นส่วนสําคัญทําให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง เพราะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคบางอย่างของลูกได้อย่างมาก วัคซีนไม่ได้สิ้นสุดหลังจากอายุ 2 ปี จําเป็นต้องมีวัคซีนเสริมและวัคซีนใหม่เมื่อลูกโตขึ้น รวมถึงวัคซีน ไข้หวัดใหญ่ประจําปี 

9.โภชนาการและการออกกําลังกาย 

รูปแบบการรับประทานอาหารและอาหารโปรดบางอย่างเพียงพอหรือไม่ เช่น แคลเซียมและวิตามินดี 

10.การทํางานของลําไส้และกระเพาะปัสสาวะ 

ปัญหาห้องน้ำเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายและเด็กที่นอนดึก อาจฉี่รดที่นอนในตอนกลางคืน แต่ถ้าก่อนหน้านี้ลูกนอนหลับตลอดทั้งคืนโดยไม่ปัสสาวะรดที่นอน แต่ตอนนี้กําลังประสบปัญหาหรือปัสสาวะรดกางเกงในตอนกลางวันเป็นประจํา อาจเป็นสัญญาณของปัญหาพื้นฐาน ปัสสาวะรดที่นอน เช่น การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ บางครั้งความเครียดอาจเกิดจากการย้ายไปบ้านใหม่หรือเริ่มโรงเรียนใหม่ อาจทําให้การควบคุมกระเพาะปัสสาวะกําเริบได้ 

11.การพักผ่อนนอนหลับ 

การนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งสําคัญสําหรับพัฒนาการที่ดีของเด็ก 

12.การป้องกันอุบัติเหตุและความปลอดภัย การออกกําลังกาย และการจํากัดเวลาอยู่หน้าจอ ให้คําแนะนําในการดูแลให้ปลอดภัยทั้งในและนอกบ้าน ให้คําแนะนําการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการใช้ยา รวมถึงแนวทางการใช้อุปกรณ์นิรภัย เช่น คาร์ซีทและบูสเตอร์ซีท 

13.การให้คำแนะนําด้านการเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการตามวัย 

สําหรับเด็กๆ มีสิ่งที่จําเป็นนับสิบรายการที่ต้องทํามากกว่าแค่การให้วัคซีน ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ลูกขาดทุน ให้พ่อแม่เล็งเห็นความสําคัญต่อการพาเด็กๆ มาตรวจสุขภาพ ทั้งนี้รายละเอียดการตรวจเช็กสุขภาพเด็กขึ้นอยู่กับการพิจารณาโดยกุมารแพทย์เป็นสําคัญ อาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสมโดยขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของเด็กแต่ละคน จึงควรปฏิบัติตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เด็กเติบโตได้แข็งแรงสมวัย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *