ทำความเข้าใจเมื่อลูกกินข้าวยาก: คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองเด็กเล็ก

ทำความเข้าใจเมื่อลูกกินข้าวยาก: คำแนะนำสำหรับคุณแม่ คุณพ่อ ผู้ปกครองเด็กเล็กทุกคน

การเลี้ยงลูกมาพร้อมกับความท้าทายที่ไม่เหมือนใคร และหากคุณเป็นพ่อแม่ของคุณลูกที่ชอบช่างเลือก (Picky eater) กินยาก หรือบางทีก็ไม่กินเลยแล้วล่ะก็คุณก็จะไม่ได้มีเวลาที่เงียบสงบอย่างแน่นอน โต๊ะทานอาหารมักจะกลายเป็นสนามรบกับลูกน้อยได้เสมอ เรามาเจาะลึกปัญหานี้เพื่อทำความเข้าใจและเพื่อจัดการเรื่องนี้กันดีกว่า

เข้าใจปัญหาของพวกเค้า: ดร. สมพร กาญจนพิพัฒน์กุล มหาวิทยาลัยมหิดล ประเทศไทย[1] ชี้ให้เห็นว่าการเป็นเด็กที่เลือกินไม่ใช่แค่การเป็นคนดื้อรั้นเท่านั้น สำหรับเด็กบางคน มันเชื่อมโยงกับความไวทางประสาทสัมผัส เด็กหลายคนอาจไม่ชอบ texture การสัมผัส กลิ่น หรือแม้แต่อุณหภูมิของอาหาร ทำให้พวกเขาอาจจะดูช่างเลือก

การสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นถ้าลูกกินยาก: 

ภาวะขาดสารอาหาร: การศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[2] เน้นย้ำถึงความเสี่ยงของการรับประทานอาหารแบบช่างเลือก กินยาก หรือไม่กินเลย ที่นำไปสู่การขาดสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่พลาดไม่ได้

ความท้าทายทางสังคม: วัฒนธรรมไทยที่มีการรับประทานอาหารร่วมกัน หมายความว่าเด็กๆ มักจะรับประทานอาหารร่วมกันที่โรงเรียนหรือในช่วงเทศกาล ดังคำกล่าวของนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ดร.เบญจวรรณ นราสัจ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[3] การที่เด็กไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมอาจนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยวได้

การเปิดรับอาหารอย่างจำกัด: อาหารบ้านเราหลากหลายตั้งแต่รสชาติเผ็ดร้อนของอีสานไปจนถึงแกงครีมของภาคใต้ ประเทศไทยมีเมนูอาหารมากมาย เราไม่รู้ว่าลูกจะชอบแบบไหน แต่การที่เค้าเป็นคนช่างเลือกหรือกินยาก อาจจะทำให้เค้าเสียโอกาสให้การลองอาหารใหม่ๆที่เค้าอาจจะชอบในอนาคตไปก็ได้

สาเหตุที่เป็นไปได้ที่ทำให้เค้ากินน้อยหรือไม่กินเลย: 

ความไวทางประสาทสัมผัส: เด็กบางคนไวต่อรสชาติหรือเนื้อสัมผัสที่เข้มข้นเป็นพิเศษ ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยเลือกสรรหรือระมัดระวังในการลองอาหารจานใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ รายงานจากสมาคมกุมารแพทย์ไทย[4] กล่าวว่าเด็กบางคนมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น ทำให้พวกเขาเลือกสรรเนื้อสัมผัสและรสชาติของอาหาร

ประสบการณ์เชิงลบในอดีต: ประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เพียงครั้งเดียวกับอาหารจานเดียวสามารถนำไปสู่ความเกลียดชังในระยะยาวได้ บางทีการทานแกงเขียวหวานที่เผ็ดเกินไปเมื่อทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนจนทำให้ต้องระวังแกงทั่วไป ดังที่นักจิตวิทยาเด็ก ดร. ชลิดา เอื้อบำรุงจิตต์ บันทึกไว้[5] อาจทำให้เด็กลังเลกับอาหารบางชนิดเป็นเวลานานได้

ระยะการพัฒนา: เช่นเดียวกับที่เด็กวัยหัดเดินยืนยันความเป็นอิสระด้วยการพูดว่า “ไม่” พวกเขาอาจใช้การเลือกอาหารเพื่อควบคุมหรือแสดงออกถึงความชอบ ศาสตราจารย์ อนัญญา วงศ์ธีรศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กไทย[6] ตั้งข้อสังเกตว่าเด็กเล็กมักจะยืนยันความเป็นอิสระผ่านการเลือกอาหารในช่วงพัฒนาการบางช่วง

อิทธิพลทางวัฒนธรรม: การเห็นเพื่อนฝูงหรือพี่ใหญ่หลีกเลี่ยงอาหารบางอย่างอาจส่งผลต่อความชอบของเด็กเล็กได้ การดูแลสภาพแวดล้อมและการเป็นตัวอย่างก็สำคัญนะครับ

การแก้ไขกับเด็กกินยากที่ช่างเลือกหรือกินยากมาก: 

  1. การสื่อสารที่เห็นอกเห็นใจ: มีส่วนร่วมในการสนทนาที่เปิดกว้าง ถามพวกเขาว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับอาหารบางชนิดและรับฟังโดยไม่ตัดสิน
  2. ค่อยๆเพิ่มขึ้น: ค่อยๆ แนะนำให้พวกเขารู้จักกับอาหารจานใหม่ๆ หากพวกเขาลังเลใจเช่น บะหมี่ เริ่มต้นด้วยบะหมี่ธรรมดาและค่อยๆ เพิ่มส่วนผสม เช่น ลูกชิ้นหรือผักเมื่อเวลาผ่านไป
  3. ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการทำอาหาร: อาหารไทยมีอาหารมากมายให้เตรียมอย่างสนุกสนาน ปล่อยให้พวกเขาปั้นเองหุบเขาทอง (ถุงทอง) หรือช่วยเตรียมหมูปั้น เสียบไม้ การเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรุงอาหารสามารถทำให้พวกเขาเปิดรับรสชาติผลลัพธ์มากขึ้น ถ้ายากไปอาจจะลองเริ่มที่ตอกไข่มาทำไข่เจียวหรือข้าวผัดก็ได้ครับ
  4. สร้างสรรค์อาหารจานที่คุ้นเคย: หากพวกเขารักข้าวผัด (ข้าวผัด) ให้ลองเติมผักหรือโปรตีนใหม่ๆ เช่น ไข่ ถั่ว แครอท เข้าไปทุกครั้ง ด้วยวิธีนี้ลูกน้อยจะลองสิ่งใหม่ๆ ด้วยความสบายใจและคุ้นเคย
  5. กำหนดกิจวัตรที่มีความยืดหยุ่น: แม้ว่าการมีเวลารับประทานอาหารที่แน่นอนจะให้ความรู้สึกปลอดภัย แต่การแนะนำ “วันอาหารใหม่” เป็นครั้งคราวอาจทำให้การทานอาหารเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาก็ได้
  6. เป็นตัวอย่างที่ดี: เด็กๆเรียนรู้จากการเห็นตัวอย่าง การแสดงความกระตือรือร้นและความเพลิดเพลินเมื่อลองอาหารประเภทต่างๆของคุณ อาจส่งผลต่อทัศนคติของพวกเขาได้
  7. ขอความช่วยเหลือ: หากความพิถีพิถันของลูกน้อยดูรุนแรงเกินไป ลองทั้งหมด 6 ข้อแล้วยังไม่สามารถแก้ไขได้ ลองขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เด็กเฉพาะทางดูอีกทีครับ

คุณทำได้: รสนิยมของเด็กแต่ละคนมีภูมิทัศน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การจะนำทางต้องใช้ความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ และความคิดสร้างสรรค์ ในฐานะพ่อแม่ ความเข้าใจและยอมรับการเดินทางครั้งนี้สามารถเปลี่ยนความท้าทายในการรับประทานอาหารให้เป็นโอกาสในการสร้างสายสัมพันธ์และการเติบโตให้กับลูกน้อยได้ครับ

ข้อมูลอ้างอิง: 
  1. ดร. สมพร กาญจนพิพัฒน์กุล, “ความอ่อนไหวในวัยเด็กและการเลือกรับประทานอาหาร” วารสารมหาวิทยาลัยมหิดล, 2563
  2. คณะแพทยศาสตร์ “โภชนาการเด็กและนิสัยการบริโภคอาหาร” วารสารการแพทย์จุฬาลงกรณ์ 2564
  3. ดร.เบญจวรรณ นราสัจ, “กินข้าวด้วยกัน: มื้อเที่ยงไทย” ทบทวนธรรมศาสตร์, 2562
  4. สมาคมกุมารแพทย์ไทย, “รายงานสุขภาพเด็กประจำปี, 2565
  5. ดร. ชาลิดา เอื้อบำรุงจิต “จิตวิทยาพฤติกรรมการกินในวัยเด็ก” สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2564 
  6. ศาสตราจารย์ อนัญญา วงษ์ธีรศักดิ์ “ระยะการพัฒนาเด็กไทย” ทบทวนการศึกษาศิลปากร, 2563
  7. ดร. กฤษฎา เสถียรลักษณ์, “การตั้งค่าอาหารระดับภูมิภาคในประเทศไทย” วารสารเกษตรศาสตร์, 2565
  8. นพ. วนิดา สังขบุตร, “การนำทางความท้าทายด้านโภชนาการของเด็ก” สิ่งตีพิมพ์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี, 2566

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *